อยากเล่าประสบการณ์ทั้งที่เจอกับตัวเองและ จากคนในครอบครัว ซึ่งใครที่ไม่เคยเจอ เราบอกได้เลยค่ะว่าคุณอ่ะโชคดีมากๆๆๆ แล้ว คนบางคนร้องเรียกยังไง อยากเห็นแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะถ้าวันนึงคุณได้เจอ ชีวิตคุณอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สมาชิกในครอบครัวเราส่วนมากจะมีสัมผัสพิเศษค่ะ โดยที่จะสามารถมองเห็นวิญญาณ หรือบางครั้งถึงจะไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ว่าบริเวณนั้นๆ จะมีวิญญาณอยู่ค่ะ
เริ่มจากเรื่องที่เราเจอเองกับตัวนะคะ เราเป็นคนกรุงเทพที่ย้ายตามพ่อแม่มาอาศัยอยู่ภาคใต้ค่ะ เนื่องจากงานของคุณพ่อเราทำให้เราต้องย้ายจังหวัดบ่อยๆ และบ้านที่พักอาศัยก็จะเป็นบ้านเช่าค่ะ ซึ่งบางครั้งก็เลือกไม่ได้ เพราะทางบริษัทคุณพ่อจะเป็นคนจัดหาที่พักให้ในปีแรกๆ หลังจากนั้น หากเราได้ที่พักที่ดีกว่า ในราคาที่อยู่ในวงเงินบริษัท เราก็สามารถย้ายได้ภายหลัง
จังหวัดแรกที่เราย้ายไปคือจังหวัดสุราษฎร์ธานีค่ะ พักอยู่ในตัวเมือง แต่ไม่เคยมีปัญหาหรือเจอเหตุการณ์แปลกๆ จนคุณพ่อเราได้บ้านพักใหม่ซึ่งจะไกลออกจากตัวเมืองไป ที่นี่แหล่ะค่ะที่เราสัมผัสได้กับสิ่งแปลกๆ
เกม
สมัยเราเป็นเด็ก เราติดวีดีโอเกมค่ะ พวกที่เป็นเกมรวม มีคอนทรา มาริโอ้ เทนนิส (เชื่อว่าหลายๆ คนที่อ่านอยู่คนเคยเล่น) เราจะเล่นอยู่จนดึกเลยค่ะ บางทีตีสองตีสามเราก็ยังไม่ได้นอน ทีวีและวีดีโอเกมจะอยู่หน้าบ้านตรงห้องนั่งเล่น ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างและประตูบ้าน
มีอยู่ครั้งนึงเราเล่นเกมตีเทนนิส ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน ปกติเราเล่นชนะซะเป็นส่วนใหญ่นะคะ แล้วเราก็เล่นแพ้ โดยที่พอตีลูกสุดท้ายเราพลาด มันมีเสียงโห่ ดังออกมาจากเกมค่ะ ตอนนั้นเราค่อนข้างตกใจเพราะเราไม่เคยได้ยินเสียงโห่ เวลาเราเล่นแพ้ค่ะ เราเลยตัดสินใจเล่นใหม่อีกครั้งด้วยความตั้งใจให้แพ้! รอบนี้ชัดเจนค่ะ ไม่มีเสียงโห่ ผิดปกติอะไรเลย เรานี่รีบปิดเกม ปิดทีวี แล้ววิ่งเข้าห้องนอนเลยค่ะ
เสียงฉายหนังกลางแปลง
ปกติบ้านตามชานเมือง พอตกค่ำ คนก็เริ่มปิดบ้านนอน ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะ มันไม่มี ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารนั่งเล่น หรือ สถานบันเทิงยามค่ำคืนมากนัก แถวบ้านเราปกติ สักสามสี่ทุ่มก็เงียบหมดแล้วค่ะ ปกติเราก็จะอยู่แต่ในห้องนอน ยกเว้นตอนออกมาเล่นเกม ทานข้าว
ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนเหมือนเดิมค่ะ จู่ๆ เราก็รู้สึกหิว เลยออกมาหาข้าวทาน โดยที่โต๊ะกินข้าวจะอยู่ห่างจะห้องนั่งเล่นไม่มา มองจากโต๊ะกินข้าวไปก็จะเห็น หน้าต่าง และประตูบ้านเลยค่ะ และขณะที่เรากำลังตักกับข้าวราดข้าว เราได้ยินเสียงเหมือนหนังกลางแปลงค่ะ เสียงค่อนข้างดังมาก เราแปลกใจเลยไปดูที่หน้าต่างบ้านค่ะว่า มีใครฉายหนังกลางแปลง แถวบ้านหรือเปล่า ตอนเรามองออกไป คือ แถวบ้านปิดไฟเงียบมากค่ะ และถ้าจะมีงานแถวบ้านมันก็เป็นไปได้ยาก เพราะจากบ้านเราก็จะสามารถเห็นตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย และ ถ้ามีงานอะไร บรรยากาศมันควรจะครึกครื้นมากกว่านี้ไงคะ แต่มันเงียบค่ะ มีแต่เสียงจิ้งหรีดแมลงร้อง และเสียงเหมือนคนคุยกันคล้ายๆ เวลาเราดูหนังกลางแปลงอ่ะค่ะ สุดท้ายเราตัดสินใจไม่หาความจริงต่อค่ะ เดินเอาจานข้าวไปวางบนโต๊ะกินข้าวแล้ววิ่งเข้าห้องเลยค่ะ สรุปวันนั้นก็อดกิน คิดในแง่ดี ก็ดีค่ะ ไม่อ้วน!
เรื่องที่เล่ามาก็เบาๆ นะคะ ส่วนมากจะสัมผัสเป็นเสียงมากกว่า ชีวิตมันฮาร์ดคอร์ขึ้นเมื่อย้ายจังหวัด มาอยู่ นครศรีธรรมราชค่ะ บ้านเช่าหลังนี้ประวัติอภิมหาสุดยอดมากค่ะ ซึ่งใครไม่ทราบก็ อยากเข้ามาอยู่นะคะ เพราะว่า มีหลายห้องนอน บริเวณที่จอดรถนี่ จอดเก๋งสี่ล้อได้ประมาณห้าถึงหกคัน ซึ่งกำแพงบ้านตรงที่จอดรถห่างจากตัวบ้านไปจะมีศาลพระภูมิและกอกล้วย ที่โตแล้วและกำลังจะโตอยู่หลายกอเลยค่ะ เราขอเล่าประสบการณ์ที่คุณแม่เราเจอจากบ้านหลังนี้นะคะ
มือใคร?
คืนนั้น คุณแม่เราอาบน้ำเสร็จ เข้าไปแต่งตัว ซึ่งโต๊ะเครื่องแป้งจะอยู่ติดกับหน้าต่าง และมองจากหน้าต่างออกไปจะเป็นข้างบ้านที่มีต้นขนุนต้นใหญ่ ซึ่งกลางคืนจะค่อนข้างหน้ากลัว พื้นที่จากตัวบ้านฝั่งห้องนอนคุณแม่ถึงกำแพงก็ประมาณเมตรนึง บริเวณนี้จะไม่มีไฟเลย และขณะที่คุณแม่กำลังแต่งตัวอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะที่หน้าต่างสามที่ พอคุณแม่หันไปมอง คุณแม่ก็เห็น นิ้วขาวๆ ขาวๆ แบบยาวกว่าคนปกติ ค่อยๆ แนบขึ้นมาที่หน้าต่างทีละนิ้ว เริ่มจากนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง...ยังไม่ทันจะนิ้วก้อยค่ะ คุณแม่เราหงายหลัง ล้มลงกับพื้นแล้วรีบคลานก่อนจะลุกได้แล้ววิ่งออกจากห้องนอนไปเลยค่ะ เรื่องนี้คุณแม่เล่าให้เราฟังหลังจากที่ย้ายออกมาจากบ้านนั้นแล้วนะคะ
ใครที่โซฟา?
คุณแม่เราเป็นคนตื่นเช้าค่ะ ปกติตีสี่ตีห้าคุณแม่ก็จะตื่นแล้ว วันนั้นเวลาตีห้า คุณแม่ตื่นแล้วก็จะไปอาบน้ำ ออกจากห้องนอนก็จะเห็นห้องนั่งเล่น ซึ่ง จะมีโซฟากับตู้วางทีวี โซฟา จะเป็นรูปตัว L กลับหัว พอออกจากห้องคุณแม่ก็จะเห็นด้านหลังโซฟา วันนั้นคุณแม่เดินออกมาก็เห็นผู้หญิงผมยาว ใส่เสื้อแขนยาวเหมือนเสื้อแขนกระบอกสีดำ นั่งก้มหน้าอยู่ที่โซฟา แม่เราเลยรีบกลับเข้าห้อง แล้วออกมาอีกทีตอนเช้าเลยค่ะ
เท้าใคร?
หลังจากที่คุณแม่เห็น ผู้หญิงนั่งที่โซฟาผ่านไปเป็นเดือนค่ะ ก็ลืมๆ ไปบ้างแล้ว ความกลัวก็ลดลง วันนั้น คุณแม่เราตื่นปกติค่ะ ออกมาก็เปิดทีวีที่ห้องนั่งเล่น ด้านหลังทีวีจะมีหน้าต่างซึ่ง มองออกไปจะเห็นต้นชมพู่มะเหมี่ยว ต้นไม่ใหญ่มาก แต่ก็สูงพอสมควร คือปกติถึงแม้สายตาเราจะอยู่ที่ทีวี แต่มันก็สามารถมองเห็นสิ่งรอบๆ ได้ และที่ผิดปกติก็คือ บริเวณนั้นมันเย็นๆ เงียบๆ มันรู้สึกได้ว่ามีอะไรที่ไม่ปกติ คุณแม่เราเลยมองขึ้นไป ทีนี้เห็นขาขาวซีด ลอยอยู่ตรงหน้าต่าง เห็นตั้งแต่น่องจนถึงเท้านะคะ ซึ่งหมายความว่า ตัวเจ้าของขาก็ลอยอยู่เหนือหน้าต่างขึ้นไปอีก
มาถึงจุดนี้เราก็มาเฉลยกันค่ะว่า ผู้หญิงที่คุณแม่เห็นอยู่นั้น คือผู้หญิงที่ผูกคอตายที่ใต้ต้นมะเหมี่ยว ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาก่อน และบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเฉพาะผีผู้หญิงนะคะ ยังมีผีผู้ชายอีกด้วย เพราะก่อนเราเข้ามาอยู่ พนักงานบริษัทพ่อเราเคยมาอาศัยอยู่ก่อน ซึ่งอยู่รวมกันหลายคน มีอยู่วันนึง ไม่มีใครอยู่บ้าน เพื่อนร่วมงานอีกคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาเรียกหา สมมติว่าชื่อ เอ นะคะ เค้าตะโกนเรียกชื่อเอ อยู่สามครั้ง จนครั้งที่สี่ มีเสียงตอบกลับมา เป็นเสียงผู้ชายว่า “อืออออ” เรียกอีกก็ดังกลับมาอีกว่า “อืออออ” แต่ไม่มีใครออกมาและบ้านก็ปิดไฟ เงียบ เค้าเลยคิดว่า คงจะมีอะไรแปลกๆ แล้วเลยรีบกลับ หลังจากนั้นก็มาเล่าให้เอฟังทีหลัง ซึ่งเมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่ บ้านหลังใหญ่นี้ ลูกน้องพ่อเราเลยย้ายออกเพื่อให้ครอบครัวเราอยู่แทนค่ะ และเอก็เล่าให้พ่อกับแม่เราฟังทีหลังเรื่องนี้
เรื่องของพี่สาว
เรื่องของพี่สาวเรามีค่อนข้างเยอะค่ะ แต่ยกมาสักหนึ่งเรื่อง ก็พอเพราะว่าเรื่องที่เราเจอกันมามีเยอะมาก
ห้องนอนพี่สาวเราจะเป็นห้องที่ต่อเติมออกจากตัวบ้านมานิดนึงค่ะ คือดูจากลักษณะบ้านก็คือ มาต่อเติมเพิมภายหลัง ซึ่งเราชอบไปนั่งเล่นที่ห้องพี่สาวบ่อยๆ ปกติในห้องก็จะมีตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ และพี่เราติดส่องกระจกมากค่ะ นางเลยเอาตั้งไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือเพราะเวลาทำการบ้าน นั่งทำงานที่โต๊ะก็จะได้ส่องตัวเองไปด้วย
อยู่มาวันนึงเราเข้าไปในห้องพี่สาว กระจกบานนั้น ถูกหันเข้ากำแพง เราแปลกใจเลยถามพี่เราว่าทำไมหันกระจกเข้ากำแพง พี่เราทำหน้าแปลกๆ แล้วตัดสินใจเล่าให้เราฟัง ว่า วันนั้น มันนั่งทำการบ้านอยู่ แล้วก็ตามปกติจะ หันไปมองกระจกอยู่เรื่อยๆ จู่ๆ มันมีเสื้อค่ะ เสื้อของพี่สาวเรานี่แหละ ซึ่งไม่รู้ออกมาจากตู้ได้ยังไง ลอยอยู่ด้านหลังพี่สาวเรา ซึ่งเห็นในกระจก หลังจากนั้นพี่เราเลยหันกระจกเข้ากำแพง เพราะมันกลัวว่า จะเห็นอะไรแปลกๆ มากกว่านั้น
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเกิดขึ้นกับครอบครัวเราจริงๆ ทุกประการค่ะ ใครเชื่อไม่เชื่ออันนี้เราก็ห้ามไม่ได้ แต่ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ แล้วก็อ่านกันสนุกๆ ละกันนะคะ
คราวหน้าเราจะมาเล่าเรื่อง ผีทซึนามิ กับประสบการณ์เกี่ยวกับเปรตที่เราเจอเองกับตัวค่ะ ตอนนี้เลิกงานแล้วกลับบ้านก่อน...
ปล. ตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคร๊าบบบบบบ
สัมผัสสยอง
สมาชิกในครอบครัวเราส่วนมากจะมีสัมผัสพิเศษค่ะ โดยที่จะสามารถมองเห็นวิญญาณ หรือบางครั้งถึงจะไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ว่าบริเวณนั้นๆ จะมีวิญญาณอยู่ค่ะ
เริ่มจากเรื่องที่เราเจอเองกับตัวนะคะ เราเป็นคนกรุงเทพที่ย้ายตามพ่อแม่มาอาศัยอยู่ภาคใต้ค่ะ เนื่องจากงานของคุณพ่อเราทำให้เราต้องย้ายจังหวัดบ่อยๆ และบ้านที่พักอาศัยก็จะเป็นบ้านเช่าค่ะ ซึ่งบางครั้งก็เลือกไม่ได้ เพราะทางบริษัทคุณพ่อจะเป็นคนจัดหาที่พักให้ในปีแรกๆ หลังจากนั้น หากเราได้ที่พักที่ดีกว่า ในราคาที่อยู่ในวงเงินบริษัท เราก็สามารถย้ายได้ภายหลัง
จังหวัดแรกที่เราย้ายไปคือจังหวัดสุราษฎร์ธานีค่ะ พักอยู่ในตัวเมือง แต่ไม่เคยมีปัญหาหรือเจอเหตุการณ์แปลกๆ จนคุณพ่อเราได้บ้านพักใหม่ซึ่งจะไกลออกจากตัวเมืองไป ที่นี่แหล่ะค่ะที่เราสัมผัสได้กับสิ่งแปลกๆ
เกม
สมัยเราเป็นเด็ก เราติดวีดีโอเกมค่ะ พวกที่เป็นเกมรวม มีคอนทรา มาริโอ้ เทนนิส (เชื่อว่าหลายๆ คนที่อ่านอยู่คนเคยเล่น) เราจะเล่นอยู่จนดึกเลยค่ะ บางทีตีสองตีสามเราก็ยังไม่ได้นอน ทีวีและวีดีโอเกมจะอยู่หน้าบ้านตรงห้องนั่งเล่น ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างและประตูบ้าน
มีอยู่ครั้งนึงเราเล่นเกมตีเทนนิส ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน ปกติเราเล่นชนะซะเป็นส่วนใหญ่นะคะ แล้วเราก็เล่นแพ้ โดยที่พอตีลูกสุดท้ายเราพลาด มันมีเสียงโห่ ดังออกมาจากเกมค่ะ ตอนนั้นเราค่อนข้างตกใจเพราะเราไม่เคยได้ยินเสียงโห่ เวลาเราเล่นแพ้ค่ะ เราเลยตัดสินใจเล่นใหม่อีกครั้งด้วยความตั้งใจให้แพ้! รอบนี้ชัดเจนค่ะ ไม่มีเสียงโห่ ผิดปกติอะไรเลย เรานี่รีบปิดเกม ปิดทีวี แล้ววิ่งเข้าห้องนอนเลยค่ะ
เสียงฉายหนังกลางแปลง
ปกติบ้านตามชานเมือง พอตกค่ำ คนก็เริ่มปิดบ้านนอน ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะ มันไม่มี ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารนั่งเล่น หรือ สถานบันเทิงยามค่ำคืนมากนัก แถวบ้านเราปกติ สักสามสี่ทุ่มก็เงียบหมดแล้วค่ะ ปกติเราก็จะอยู่แต่ในห้องนอน ยกเว้นตอนออกมาเล่นเกม ทานข้าว
ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนเหมือนเดิมค่ะ จู่ๆ เราก็รู้สึกหิว เลยออกมาหาข้าวทาน โดยที่โต๊ะกินข้าวจะอยู่ห่างจะห้องนั่งเล่นไม่มา มองจากโต๊ะกินข้าวไปก็จะเห็น หน้าต่าง และประตูบ้านเลยค่ะ และขณะที่เรากำลังตักกับข้าวราดข้าว เราได้ยินเสียงเหมือนหนังกลางแปลงค่ะ เสียงค่อนข้างดังมาก เราแปลกใจเลยไปดูที่หน้าต่างบ้านค่ะว่า มีใครฉายหนังกลางแปลง แถวบ้านหรือเปล่า ตอนเรามองออกไป คือ แถวบ้านปิดไฟเงียบมากค่ะ และถ้าจะมีงานแถวบ้านมันก็เป็นไปได้ยาก เพราะจากบ้านเราก็จะสามารถเห็นตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย และ ถ้ามีงานอะไร บรรยากาศมันควรจะครึกครื้นมากกว่านี้ไงคะ แต่มันเงียบค่ะ มีแต่เสียงจิ้งหรีดแมลงร้อง และเสียงเหมือนคนคุยกันคล้ายๆ เวลาเราดูหนังกลางแปลงอ่ะค่ะ สุดท้ายเราตัดสินใจไม่หาความจริงต่อค่ะ เดินเอาจานข้าวไปวางบนโต๊ะกินข้าวแล้ววิ่งเข้าห้องเลยค่ะ สรุปวันนั้นก็อดกิน คิดในแง่ดี ก็ดีค่ะ ไม่อ้วน!
เรื่องที่เล่ามาก็เบาๆ นะคะ ส่วนมากจะสัมผัสเป็นเสียงมากกว่า ชีวิตมันฮาร์ดคอร์ขึ้นเมื่อย้ายจังหวัด มาอยู่ นครศรีธรรมราชค่ะ บ้านเช่าหลังนี้ประวัติอภิมหาสุดยอดมากค่ะ ซึ่งใครไม่ทราบก็ อยากเข้ามาอยู่นะคะ เพราะว่า มีหลายห้องนอน บริเวณที่จอดรถนี่ จอดเก๋งสี่ล้อได้ประมาณห้าถึงหกคัน ซึ่งกำแพงบ้านตรงที่จอดรถห่างจากตัวบ้านไปจะมีศาลพระภูมิและกอกล้วย ที่โตแล้วและกำลังจะโตอยู่หลายกอเลยค่ะ เราขอเล่าประสบการณ์ที่คุณแม่เราเจอจากบ้านหลังนี้นะคะ
มือใคร?
คืนนั้น คุณแม่เราอาบน้ำเสร็จ เข้าไปแต่งตัว ซึ่งโต๊ะเครื่องแป้งจะอยู่ติดกับหน้าต่าง และมองจากหน้าต่างออกไปจะเป็นข้างบ้านที่มีต้นขนุนต้นใหญ่ ซึ่งกลางคืนจะค่อนข้างหน้ากลัว พื้นที่จากตัวบ้านฝั่งห้องนอนคุณแม่ถึงกำแพงก็ประมาณเมตรนึง บริเวณนี้จะไม่มีไฟเลย และขณะที่คุณแม่กำลังแต่งตัวอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะที่หน้าต่างสามที่ พอคุณแม่หันไปมอง คุณแม่ก็เห็น นิ้วขาวๆ ขาวๆ แบบยาวกว่าคนปกติ ค่อยๆ แนบขึ้นมาที่หน้าต่างทีละนิ้ว เริ่มจากนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง...ยังไม่ทันจะนิ้วก้อยค่ะ คุณแม่เราหงายหลัง ล้มลงกับพื้นแล้วรีบคลานก่อนจะลุกได้แล้ววิ่งออกจากห้องนอนไปเลยค่ะ เรื่องนี้คุณแม่เล่าให้เราฟังหลังจากที่ย้ายออกมาจากบ้านนั้นแล้วนะคะ
ใครที่โซฟา?
คุณแม่เราเป็นคนตื่นเช้าค่ะ ปกติตีสี่ตีห้าคุณแม่ก็จะตื่นแล้ว วันนั้นเวลาตีห้า คุณแม่ตื่นแล้วก็จะไปอาบน้ำ ออกจากห้องนอนก็จะเห็นห้องนั่งเล่น ซึ่ง จะมีโซฟากับตู้วางทีวี โซฟา จะเป็นรูปตัว L กลับหัว พอออกจากห้องคุณแม่ก็จะเห็นด้านหลังโซฟา วันนั้นคุณแม่เดินออกมาก็เห็นผู้หญิงผมยาว ใส่เสื้อแขนยาวเหมือนเสื้อแขนกระบอกสีดำ นั่งก้มหน้าอยู่ที่โซฟา แม่เราเลยรีบกลับเข้าห้อง แล้วออกมาอีกทีตอนเช้าเลยค่ะ
เท้าใคร?
หลังจากที่คุณแม่เห็น ผู้หญิงนั่งที่โซฟาผ่านไปเป็นเดือนค่ะ ก็ลืมๆ ไปบ้างแล้ว ความกลัวก็ลดลง วันนั้น คุณแม่เราตื่นปกติค่ะ ออกมาก็เปิดทีวีที่ห้องนั่งเล่น ด้านหลังทีวีจะมีหน้าต่างซึ่ง มองออกไปจะเห็นต้นชมพู่มะเหมี่ยว ต้นไม่ใหญ่มาก แต่ก็สูงพอสมควร คือปกติถึงแม้สายตาเราจะอยู่ที่ทีวี แต่มันก็สามารถมองเห็นสิ่งรอบๆ ได้ และที่ผิดปกติก็คือ บริเวณนั้นมันเย็นๆ เงียบๆ มันรู้สึกได้ว่ามีอะไรที่ไม่ปกติ คุณแม่เราเลยมองขึ้นไป ทีนี้เห็นขาขาวซีด ลอยอยู่ตรงหน้าต่าง เห็นตั้งแต่น่องจนถึงเท้านะคะ ซึ่งหมายความว่า ตัวเจ้าของขาก็ลอยอยู่เหนือหน้าต่างขึ้นไปอีก
มาถึงจุดนี้เราก็มาเฉลยกันค่ะว่า ผู้หญิงที่คุณแม่เห็นอยู่นั้น คือผู้หญิงที่ผูกคอตายที่ใต้ต้นมะเหมี่ยว ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาก่อน และบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเฉพาะผีผู้หญิงนะคะ ยังมีผีผู้ชายอีกด้วย เพราะก่อนเราเข้ามาอยู่ พนักงานบริษัทพ่อเราเคยมาอาศัยอยู่ก่อน ซึ่งอยู่รวมกันหลายคน มีอยู่วันนึง ไม่มีใครอยู่บ้าน เพื่อนร่วมงานอีกคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาเรียกหา สมมติว่าชื่อ เอ นะคะ เค้าตะโกนเรียกชื่อเอ อยู่สามครั้ง จนครั้งที่สี่ มีเสียงตอบกลับมา เป็นเสียงผู้ชายว่า “อืออออ” เรียกอีกก็ดังกลับมาอีกว่า “อืออออ” แต่ไม่มีใครออกมาและบ้านก็ปิดไฟ เงียบ เค้าเลยคิดว่า คงจะมีอะไรแปลกๆ แล้วเลยรีบกลับ หลังจากนั้นก็มาเล่าให้เอฟังทีหลัง ซึ่งเมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่ บ้านหลังใหญ่นี้ ลูกน้องพ่อเราเลยย้ายออกเพื่อให้ครอบครัวเราอยู่แทนค่ะ และเอก็เล่าให้พ่อกับแม่เราฟังทีหลังเรื่องนี้
เรื่องของพี่สาว
เรื่องของพี่สาวเรามีค่อนข้างเยอะค่ะ แต่ยกมาสักหนึ่งเรื่อง ก็พอเพราะว่าเรื่องที่เราเจอกันมามีเยอะมาก
ห้องนอนพี่สาวเราจะเป็นห้องที่ต่อเติมออกจากตัวบ้านมานิดนึงค่ะ คือดูจากลักษณะบ้านก็คือ มาต่อเติมเพิมภายหลัง ซึ่งเราชอบไปนั่งเล่นที่ห้องพี่สาวบ่อยๆ ปกติในห้องก็จะมีตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ และพี่เราติดส่องกระจกมากค่ะ นางเลยเอาตั้งไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือเพราะเวลาทำการบ้าน นั่งทำงานที่โต๊ะก็จะได้ส่องตัวเองไปด้วย
อยู่มาวันนึงเราเข้าไปในห้องพี่สาว กระจกบานนั้น ถูกหันเข้ากำแพง เราแปลกใจเลยถามพี่เราว่าทำไมหันกระจกเข้ากำแพง พี่เราทำหน้าแปลกๆ แล้วตัดสินใจเล่าให้เราฟัง ว่า วันนั้น มันนั่งทำการบ้านอยู่ แล้วก็ตามปกติจะ หันไปมองกระจกอยู่เรื่อยๆ จู่ๆ มันมีเสื้อค่ะ เสื้อของพี่สาวเรานี่แหละ ซึ่งไม่รู้ออกมาจากตู้ได้ยังไง ลอยอยู่ด้านหลังพี่สาวเรา ซึ่งเห็นในกระจก หลังจากนั้นพี่เราเลยหันกระจกเข้ากำแพง เพราะมันกลัวว่า จะเห็นอะไรแปลกๆ มากกว่านั้น
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเกิดขึ้นกับครอบครัวเราจริงๆ ทุกประการค่ะ ใครเชื่อไม่เชื่ออันนี้เราก็ห้ามไม่ได้ แต่ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ แล้วก็อ่านกันสนุกๆ ละกันนะคะ
คราวหน้าเราจะมาเล่าเรื่อง ผีทซึนามิ กับประสบการณ์เกี่ยวกับเปรตที่เราเจอเองกับตัวค่ะ ตอนนี้เลิกงานแล้วกลับบ้านก่อน...
ปล. ตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคร๊าบบบบบบ